ผลกระทบของภาวะโลกร้อน


ภาวะโลกร้อน กับ ยุงลาย


ภาวะโลกร้อนกำลังส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจทำให้บางสายพันธุ์ที่แข็งแกร่งไม่พอสูญพันธุ์ไปจากโลกใบนี้ได้ แต่ดูเหมือนบางสายพันธุ์ไม่ได้หวั่นเกรงต่อภาวะโลกร้อนนี้เลย แต่กลับยิ่งขยายพันธุ์ได้เร็วขึ้น และยังร้ายมากขึ้นอีกด้วย ..โชคไม่ดีที่สายพันธุ์ที่ผมกำลังพูดถึงนั้นก็คือเจ้ายุงลาย ซึ่งเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก ที่คอยคร่าชีวิตมนุษย์อย่างพวกเรานี่เอง
เฉพาะในประเทศอินเดียและทวีปอเมริกาใต้มีผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้เลือดออกถึง 500,000 คนต่อปี และในปีสองปีที่ผ่านมานี้ ไข้เลือดออกระบาดรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม นักวิจัยได้ให้ความเห็นตรงกันว่าสาเหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้ก็เพราะเจ้าภาวะโลกร้อนนั่นเอง
ภาวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้วงจรชีวิตของยุงลายเปลี่ยนไป คาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำที่ที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ลูกน้ำยุงลายฟักตัวเร็วขึ้นจากเดิม 7 วันกลายเป็น 5 วัน ซึ่งแน่นอนทำให้พวกยุงลายเพิ่มจำนวนประชากรได้เร็วขึ้น และจากเดิมที่ยุงลายเคยออกหากินเฉพาะในตอนกลางวัน แต่ภาวะโลกร้อนทำให้ยุงลายออกหากินในช่วงกลางคืนถึง 5 ทุ่มด้วย ซึ่งแต่ก่อนจะมีแค่ยุงรำคาญที่ออกหากินในเวลานี้ ทำให้การควบคุมโรคนั้นยากขึ้นไปกว่าเดิม
ที่ร้ายกว่านั้นก็คือไวรัสเดงกี่ (Dengue Virus) ซึ่งเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคไข้เลือดออกนั้น แต่เดิมจะมีอยู่ในเฉพาะยุงลายตัวเมีย เพราะการที่ยุงลายจะติดไวรัสเดงกี่ได้นั้น จะต้องไปกัดคนที่เป็นไข้เลือดออกและรับไวรัสนี้มาเท่านั้น แต่ตอนนี้พบว่ามีไวรัสเดงกี่ในยุงลายตัวผู้ด้วย จึงเกิดข้อสงสัยว่าทำไมยุงลายตัวผู้ถึงมีไวรัสนี้ เพราะอย่างที่เรารู้กันว่ายุงลายที่กินเลือดคนนั้นมีแต่ยุงตัวเมีย และก็ได้พบว่าเกิดจากการที่แม่ของมันที่มีไวรัสเดงกี่ถ่ายทอดไวรัสนี้มาให้ตั้งแต่เกิด เพราะว่ามีการพบไวรัสเดงกี่นี้ในลูกน้ำยุงลายด้วย
ยุงลายตัวผู้ที่มีไวรัสเดงกี่ เวลาที่มันไปผสมพันธุ์กับตัวเมียก็จะแพร่ไวรัสนี้ผ่านทางน้ำเชื้อไปติดตัวเมียด้วย และยุงลายตัวผู้สามารถผสมพันธุ์ได้หลายครั้ง จึงทำให้เชื้อไวรัสนี้แพร่กระจายไปเร็วมากขึ้นกว่าเดิม และยังจะถูกถ่ายทอดไปยังลูกของมันได้อีกด้วย
พอได้รู้แบบนี้จึงไม่สงสัยเลยว่าทำไมโรคไข้เลือดออกถึงได้ระบาดหนักมากขึ้น ตอนนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องก็กำลังคิดค้นหาวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกอยู่ แต่คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี ตอนนี้เราก็ได้แต่ป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด และช่วยกันทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ของมัน ดูเหมือนว่าพวกมันปรับตัวได้ดีเหลือเกินกับภาวะโลกร้อนที่เป็นอยู่ในตอนนี้

ภาวะโลกร้อน กับ หมีขั้วโลก


หมีขั้วโลกเป็นราชาแห่งดินแดนน้ำแข็งที่ทุกคนรู้จักกันดี ด้วยความสามารถในการปรับตัวให้อยู่ในที่หนาวเย็นได้ดีและพละกำลังที่มีอย่างมหาศาล หมีขั้วโลกจึงถูกขนานนามว่าเป็นนักล่าแห่งดินแดนน้ำแข็ง แต่ตอนนี้ราชาผู้ยิ่งใหญ่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อนนั่นเอง
หมีขั้วโลกใช้เวลากว่า 2 แสนปีในการวิวัฒนาการตัวเองจากหมีสีน้ำตาลกลายมาเป็นหมีขั้วโลกสีขาว และพัฒนาตัวเองให้มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ๆเต็มไปด้วยน้ำแข็ง คือ มีขนที่อุ้งเท้า นิ้วสั้น เล็บโค้งงอ เหมาะที่จะยึดตัวเองกับน้ำแข็งได้อย่างสบาย และยังมีท่อนขาขนาดใหญ่ เพื่อที่จะเฉลี่ยน้ำหนักอันมหาศาลของตัวมันเอง ทำให้สามารถเดินบนพื้นน้ำแข็งที่บางๆได้ ปัจจุบันหมีขั้วโลกเหลืออยู่บนโลกใบนี้ประมาณ 22,000-27,000 ตัวเท่านั้น
ภาวะโลกร้อนทำให้น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายลงอย่างรวดเร็ว หมีขั้วโลกที่ปกติอาศัยอยู่บนพื้นน้ำแข็งก็ทำให้หาแผ่นน้ำแข็งอยู่ได้ยากขึ้น มีหลายครั้งที่หมีขั้วโลกต้องว่ายน้ำเป็นร้อยๆไมล์เพื่อหาอาหาร และหาแผ่นน้ำแข็งเหยียบ ทำให้มีหมีขั้วโลกจมน้ำตายไปแล้วก็มี ด้วยอาหารที่หายากมากขึ้นบวกกับน้ำแข็งที่เป็นที่อยู่ของมันลดน้อยลงอันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน หมีขั้วโลกจึงเป็นสัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มาก

เรามาช่วยกันลดภาวะโลกร้อนกันเถอะครับ ก่อนที่หมีขั้วโลกและสัตว์อื่นๆจะแย่และสูญพันธุ์ไปมากกว่านี้ ถ้ามีใครมาไล่ที่อยู่ที่เราเคยอาศัยเคยทำกินอยู่เราก็คงเดือนร้อนแน่ใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้นถ้าช่วยกันลดภาวะโลกร้อนได้ก็ช่วยๆกันนะครับ ถือว่าสงสารเจ้าหมีขั้วโลกและก็สัตว์อื่นๆ ภาพนี้คงอธิบายได้เป็นอย่างดี….



ภาวะโลกร้อน กับ นกเพนกวิน


เมื่อพูดถึงสัตว์ที่อาศัยอยู่ ณ ดินแดนน้ำแข็งแล้วล่ะก็ คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงเจ้าหมีขั้วโลก และอีกตัวที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือเจ้านกเพนกวิน ที่ใครได้เห็นแล้วก็ต้องตกหลุมรักในความน่ารักของมันอย่างแน่นอน บทความที่แล้วผมได้พูดถึงผลกระทบของภาวะโลกร้อนที่มีต่อหมีขั้วโลกไปแล้ว ถ้าผมจะไม่พูดถึงผลกระทบที่มีต่อนกเพนกวินเลยก็ดูเหมือนจะขาดอะไรไป เผื่อจะทำให้คนที่ได้อ่านบทความนี้ใจอ่อน และหันมาช่วยลดภาวะโลกร้อนกันมากขึ้นเพื่อเจ้านกเพนกวินที่น่ารักเหล่านี้ รวมไปถึงสัตว์โลกอื่นๆและเผ่าพันธุ์ของเราเองด้วย
ก่อนอื่นเรามารู้จักกับชีวิตของนกเพนกวินคร่าวๆกันก่อนนะครับ ปัจจุบันเราสามารถพบนกเพนกวินได้เฉพาะบริเวณทวีปแอนตาร์กติกา หมู่เกาะกาลาปากอส และอเมริกาใต้เท่านั้น แต่เมื่อหลายล้านปีก่อนนกเพนกวินเคยอาศัยอยู่ทั่วทุกแห่งบนโลก อาหารของพวกมันก็จะเป็นสัตว์ทะเลต่างๆ เช่น ปลา ปลาหมึก กุ้ง
นกเพนกวินสามารถอดอาหารได้เป็นเดือนๆยามที่ฤดูหนาวมาเยือน เมื่อถึงเวลาขยายพันธุ์ นกเพนกวินตัวเมียจะออกไข่ แต่ตัวผู้เป็นฝ่ายที่ต้องดูแลและกกไข่ โดยจะเอาไข่ซุกไว้ตรงหว่างขาของมันเพื่อให้ความอบอุ่น และจะอยู่แบบนั้นไปอีกหลายเดือนโดยที่ไม่ได้กินอาหาร ส่วนตัวเมียนั้นจะเสียพลังงานจากการที่ต้องออกไข่ จึงทำให้ต้องเดินทางเป็นเดือนๆ ออกไปยังทะเลเพื่อหาอาหาร บางครั้งก็อาจจะไม่ได้กลับมา เพราะว่านกเพนกวินก็มีศัตรูตามธรรมชาติอยู่ เช่นพวกแมวน้ำ หรือบางทีน้ำแข็งละลายมาปิดเส้นทาง ทำให้ต้องเดินทางไกลกว่าเดิม บางตัวก็หมดแรงลงก่อนที่จะถึงทะเล และมันก็จะไม่ได้กลับไปเห็นหน้าลูกของมัน
นกเพนกวินถูกคุกคามจากมนุษย์มานานแล้ว ทั้งการทำประมงที่มากเกินไป ทำให้อาหารของมันหายากขึ้น รวมทั้งการล่านกเพนกวินเพื่อจะเอาไขมัน บวกกับภาวะโลกร้อนที่กำลังส่งผลรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ทวีปแอนตาร์คติกาที่มีนกเพนกวินอาศัยอยู่หลายพันธุ์ จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นมากกว่าที่อื่นๆบนโลกถึง 5 เท่า เพราะฉะนั้นจึงทำให้ชีวิตของนกเพนกวินเปลี่ยนไป ทั้งเรื่องของอาหารที่น้อยลง การหาคู่ การขยายพันธุ์
การละลายของน้ำแข็งเนื่องจากภาวะโลกร้อนนั้น ส่งผลให้นกเพนกวินต้องวางไข่อยู่บนพื้นน้ำแข็งที่บาง ทำให้มีความเสี่ยงว่าน้ำแข็งจะแตก ซึ่งเป็นอันตรายมากต่อไข่นกเพนกวิน เมื่อไข่ฟักออกมาแล้วก็ใช่ว่าลูกนกเพนกวินจะรอดทุกตัว ด้วยศัตรูที่มีอยู่ตามธรรมชาติอาจจะทำให้บางตัวต้องตายไป แต่สิ่งกำลังพรากชีวิตของเจ้านกตัวน้อยๆไปอย่างมากมายนั่นก็คือภาวะโลกร้อน มีนักสำรวจที่เดินทางไปยังทวีปแอนตาร์กติกา และได้พบว่าลูกนกเพนกวินจำนวนมากเสียชีวิตจากการแข็งตาย เนื่องมาจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป บางวันที่อุณหภูมิสูงกว่าจุดเยือกแข็งจะมีฝนตกลงมา ทำให้ลูกนกเพนกวินที่ไม่มีขนที่สามารถกันน้ำได้เปียก จนถึงเวลากลางคืนที่อุณหภูมิลดลงต่ำจนถึงจุดเยือกแข็ง ทำให้น้ำเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็งและลูกนกเพนกวินก็จะแข็งตายในที่สุด
ปัจจุบันนกเพนกวินมีจำนวนลดลงจากในอดีตมากอย่างน่าใจหาย และด้วยภาวะโลกร้อนนี่เองจะทำให้นกเพนกวินเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างมาก พวกเราคงไม่อยากให้สัตว์โลกที่น่ารักพวกนี้หายไปจากโลกเราใช่ไหมครับ เรามาร่วมมือช่วยกันลดภาวะโลกร้อนกันนะครับ อย่างน้อยก็เห็นแก่นกเพนกวินตัวน้อยๆที่ยังอยากจะอาศัยอยู่บนโลกนี้ต่อไป